วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สุวรรณหงส์

เขียนโดย -Heart- ที่ 10:39 0 ความคิดเห็น

 สุวรรณหงส์






กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนครใหญ่และเจริญรุ่งเรืองอยู่ชื่อ นครไอยรัตน์ปกครองโดยพระราชานามว่า ท้าวสุทันนุราชมีพระมเหสีนามว่า พระนางศรีสุวรรณมีพระราชโอรสพระนามว่า สุวรรณหงส์บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองและสงบสุขมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งโหรหลวงได้กล่าวคำทำนายไว้ว่าในไม่ช้าจะเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นใน พระนคร แล้วก็รอให้เหตุการณ์ที่มองไม่เห็นนี้เกิดขึ้นด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เมื่อเจ้าชายสุวรรณหงส์ทรงเจริญวัยสมควรที่จะได้ศึกษาหาความรู้ เพื่อประโยชน์แก่การขึ้นครองราชย์ในอนาคต พระราชาก็ส่งพระองค์ไปศึกษาเล่าเรียนกับพระฤๅษีในป่า เจ้าชายสวรรณหงส์ก็ได้ศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาในหลายแขนงด้วยกันโดยเฉพาะ อย่างยิ่งวิชาฟันดาบและเรียนรู้ภาษาของสัตว์ หลังจากจบแล้วก็กราบลาพระฤๅษีเสด็จกลับพระนคร เจ้าชายก็ช่วยแบ่งเบาพระราชภารกิจของพระบิดาในเกือบทุกเรื่อง พระราชาทรงปลื้มปีติกับพระโอรสยิ่งนัก แต่ก็ทรงนึกถึงคำทำนายของโหรอยู่ตลอดเวลา ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงดำริว่าคำทำนายของโหรมีความคลาดเคลื่อนอย่างแน่ นอน จึงไม่จำเป็นที่พระองค์จะต้องทรงวิตกกังวลอีกต่อไป วันหนึ่ง ในขณะที่พระสุวรรณหงส์เสด็จไปสรงน้ำที่ธารน้ำ ก็ทอดพระเนตรเห็นผอบทองที่พระธิดาพญายักษ์ลอยน้ำเสี่ยงทายมา เมื่อเปิดผอบก็พบพวงมาลัยดอกไม้สดกลิ่นหอมหวานยิ่งนักจึงนำมาเก็บไว้ใน พระราชวังด้วย เป็นที่น่าประหลาดใจก็ตรงที่ว่าแม้จะล่วงเลยไปเป็นเวลา 3 วันแล้ว พวงมาลัยดอกไม้สดนั้นก็ยังคงสดและมีกลิ่นหอมอยู่อย่างนั้น คืนหนึ่ง เจ้าชายก็ทรงฝันว่า ได้พบกับสาวสวยเจ้าของพวงมาลับดอกไม้นั้น ครั้งตื่นจากบรรทมก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนึกถึงนางและคิดหาหนทางที่จะได้ พบนาง พระองค์ทรงตกหลุมรักของหญิงสาวในฝันเสียแล้ว อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่พระสุวรรณหงส์ระทมทุกข์ถึงนางในฝันอยู่นั้น ได้มีนายช่างผู้มีความสามารถสองคนมาขอเข้าเฝ้า ทั้งสองได้ทูลให้พระองค์ทราบว่าพวกเขามีความสามารถพิเศษซึ่งสามารถประดิษฐ์ ของวิเศษให้พระองค์ได้ เมื่อถูกถามถึงความชำนาญพิเศษทั้งคู่ก็ทูลว่าเขาคนหนึ่งเป็นช่างไม้มีความ ชำนาญพิเศษในการต่อเรือ ในขณะที่อีกคนหนึ่งเป็นช่างเครื่องสามารถประดิษฐ์เครื่องยนต์ให้เรือบินไป ได้อย่างพญานก และแล้วนายช่างทั้งสองก็เริ่มประดิษฐ์ผลงานชิ้นเอกซึ่งก็เป็นเรือหงส์เหาะ ได้ แล้วก็นำไปถวายพระโอรสซึ่งก็เป็นที่พอพระทัยยิ่งนักที่ได้เห็นสิ่งประดิษฐ์ อันสวยงามเช่นนั้น พระองค์ได้ประทานรางวัลให้ทั้งคู่อย่างงาม ขณะที่ทรงชื่นชมความงามอยู่นั้นก็ทรงเห็นอักขระแปลกประหลาดจารึกอยู่บนเรือ นั้น พระองค์จึงตรัสถามหาความหมาย แต่ทั้งสองนายช่างไม่เข้าใจความหมายพวกเขาทูลว่าพวกเขาคัดลอกมาจากคัมภีร์ พระเวทย์ซึ่งเป็นภาษาของพญาครุฑ ดังนั้นผู้ที่อ่านอักขระเหล่านี้ออกก็จะสามารถบังคับเรือให้บินไปได้เหมือน นก เนื่องจากพระสุวรรณหงส์เรียนภาษาสัตว์จากพระฤๅษีพระองค์จึงอ่านอักขระเหล่า นั้นได้หมดและสั่งให้เรือบินไปได้ตามใจชอบ ชาวเมืองนครไอยรัตน์ต่างพากันชื่นชมพระบารมีของพระโอรสที่ทรงสามารถท่อง เที่ยวไปด้วยยานมหัศจรรย์ ในเวลาต่อมา พระสุวรรณหงส์ได้เสี่ยงทายปล่อยว่าวเพื่อทำนายโชคชะตาของบ้านเมือง ในขณะที่ปล่อยว่าวขึ้นสู่ท้องฟ้านั้นพระองค์ก็ตั้งอธิษฐานว่าถ้าว่าวติดลมดีก็หมายถึงในปีนี้บ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรืองกว่าปีก่อนแต่ก็น่าแปลกที่ว่าแทนที่ว่าวจะลอยอยู่ในพระนคร ว่าวก็ลอยไปยังเมืองของพวกยักษ์มีชื่อว่า นครมัตตังปกครองโดยพญายักษ์นามว่า สุวรรณวิกผู้ซึ่งมีธิดาผู้เลอโฉมนามว่าเกศสุริยงพญายักษ์รักธิดามากจึงกำชับให้พี่เลี้ยงทั้ง 5 คนดูแลธิดาของตนเป็นอย่างดี ในขณะเดียวกัน พระสุวรรณหงส์ก็เสด็จออกตามหาว่าวที่ลอยไปพันยอดปราสาทขององค์หญิงเกศสุริยง พอดี อาศัยมนต์วิเศษที่มีพระองค์ก็ทรงไต่ตามสายป่านว่าวขึ้นไปพบเจ้าหญิงผู้เลอ โฉมได้ ทันทีที่ได้พบนาง พระองค์ก็ทรงทราบทันทีว่าสตรีผู้นี้คือเจ้าของพวกมาลัยดอกไม้สดและเป็นนางใน ฝันของพระองค์จึงเปิดเผยตัวเองให้เจ้าหญิงทรงทราบ แล้วทั้งคู่ก็ตกหลุมรักของกันและกันในบัดดล ทั้งสองแอบใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยาอย่างลับ ๆ และนับแต่นั้นมาเจ้าชายสุวรรณหงส์ก็จะไต่สายป่านว่าวของพระองค์ไปพบเจ้าหญิง เกศสุริยงอย่างลับ ๆ อยู่เป็นประจำ อย่างไรก็ตาม ชีวิตรักของทั้งคู่ก็ไม่อาจจะเก็บไว้ได้นาน เมื่อพี่เลี้ยงทั้งห้าพบสายป่านว่าวและชายหนุ่มอยู่กับองค์หญิงของพวกตา พวกนางมีความวิตกกังวลและเกรงกลัวความผิดที่ไม่ปกป้องเจ้านายของพวกตนตามที่ พญายักษ์สั่งไว้ จึงคิดหาทางกำจัดผู้บุกรุกเพื่อไม่ให้นำความเดือดร้อนมาให้พวกตนได้อีกต่อไป ก่อนหน้าที่จะมาหาองค์หญิงในวันต่อมา พระสุวรรณหงส์ก็ฝันร้ายในคืนนั้น ว่าตกลงจาภูเขาและติดอยู่ในความมืดสนิท เมื่อตื่นจากบรรทมก็ได้หลับต่อและฝันร้ายอีก แต่คราวนี้ มีหอกพุ่งเข้าแทงตรงหัวใจทำให้พระองค์สิ้นพระชนม์ในทันที หลังจากชำระล้างพระวรกายแล้ว ก็เสด็จขึ้นเรือวิเศษบินไปยังเมืองมัตตัง แล้วก็ไต่สายป่านว่าวขึ้นไปพบเจ้าหญิงเหมือนเช่นเคย แต่โชคร้ายที่ว่าคราวนี้ไม่ง่ายเหมือนอย่างแต่ก่อน เพราะพี่เลี้ยงทั้งห้าได้ทำกับดักไว้ที่หน้าต่างในทันทีที่พระสุวรรณหงส์ ปรากฏพระองค์ขึ้นที่หน้าต่างหอกยนต์ก็ลั่นเสียบพระอุระทันที เจ้าชายได้รับบาดเจ็บแต่ก็สามารถหนีขึ้นเรือกลับมาสิ้นพระชนม์ที่พระนครของ ตนเอง แต่ก่อนจะสิ้นลมหายใจเฮือกสุดท้ายพระองค์ก็ทรงสาบานว่าจะขอล้างแค้นองค์หญิง ทุก ๆ ชาติไป ด้วยเหตุที่พระองค์ไม่ทราบว่าใครเป็นคนคิดร้ายต่อพระองค์ เจ้าชายดิ้นทุรนทุรายและสิ้นพระชนม์ด้วยความเจ็บปวด ในขณะเดียวกัน ถึงแม้ว่าองค์หญิงเกศสุริยงจะเป็นธิดาของพญายักษ์ผู้โหดร้าย แต่นางก็มีจิตใจดีและอ่อนโยน นางเฝ้าคอยพระสุวรรณหงส์อยู่เป็นเวลาหลายวันแต่ก็ไม่พบว่าพระองค์จะเสด็จมา นางจึงมองออกไปนอกหน้าต่าง และก็ต้องแปลกใจที่พบรอยเลือด นางเกิดความสงสัยจึงตามรอยเลือดไปจนถึงป่าซึ่งลึกเขาไปจนไม่อาจจะผ่านไปได้ อีกแล้ว นางมีความเศร้าโศก และเสียใจมากจนหมดสติอยู่ในป่านั้นเอง พระอินทร์ทรงรู้สึกสงสารจึงช่วยให้ฟื้นคืนสติ และพระอินทร์ก็ทรงช่วยแปลงร่างให้นางเป็นชาย และให้ปลอมตัวเป็นพราหมณ์หนุ่มเพื่อที่จะได้เดินทางไปตามลำพังได้อย่าง ปลอดภัย และพระองค์ยังได้ประทานน้ำมันทิพย์บรรจุขวดเล็ก ๆ และศรวิเศษให้พราหมณ์แปลงอีกด้วย น้ำมันนี้สามารถใช้ชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้ ก่อนเสด็จกลับสวรรค์ พระองค์ยังได้ทรงแปลงร่างอีกส่วนของเจ้าหญิงเกศสุริยงให้เป็นร่างเกศ สุริยงอยู่ในปราสาท เพื่อไม่ให้พญายักษ์สงสัยต่อการหายไปของธิดาเพื่อตามหาสามี พราหมณ์สุริยงในร่างแปลง ก็ออกเดินทางตามลำพังและมาถึงศาลาของยักษ์นามว่ากุมภัณฑ์เมื่อยักษ์กุมภัณฑ์เห็นผู้บุกรุกก็เกิดความโกรธและต้องการจะกินนาง แต่นางก็ต่อสู้และสามารถฆ่ายักษ์ได้สำเร็จ ด้วยความสงสารนางจึงใช้น้ำมันทิพย์ชุบชีวิตยักษ์ให้ฟื้นคืนชีพ หลังจากฟื้นแล้วยักษ์กุมภัณฑ์ก็อ้อนวอนขออภัยและสาบานว่าจะเป็นทาสผู้ซื่อ สัตย์ของนางตลอดไปนางก็ยินดีและแล้วทั้งนายและบ่าวก้ออกเดินทางไปด้วยกัน เพื่อให้ถึงเมืองไอยรัตน์โดยเร็ว ยักษ์กุมภัณฑ์จึงให้นายของตนนั่งบนบ่าแล้วก็เดินทางมาจนถึงพระนคร เกศสุริยงในร่างพราหมณ์จึงบอกให้ยักษ์แปลงร่างเป็นพราหมณ์เหมือนกับตน เพื่อไม่ให้ใครสงสัย เมื่อมาถึงพระนคร ทั้งคู่ก็เห็นความสง่างามของเมือง แต่ผู้คนดูเศร้าโศกกันไปหมดแล้วก็บอกข่าวสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายของพวกเขา ดังนั้นพราหมณ์เกศสุริยงจึงอาสาช่วยให้เจ้าชายฟื้นพระชนม์ชีพอีกครั้ง และด้วยอำนาจของน้ำมันทิพย์พระสุวรรณหงส์ก็ทรงฟื้นคืนชีพได้อีก ทั้งพระราชาและเหล่าพสกนิกรต่างก็ปลื้มปีติยินดีเป็นล้นพ้น มีการจัดงานฉลองอย่างเอิกเกริกเป็นเวลาหลายวัน นับแต่นั้นมา เกศสุริยงในร่างแปลงของพราหมณ์หนุ่มโดยใช้ชื่อว่า อัมพร ก็กลายเป็นที่โปรดปรานของพระราชาและพระราชินี เพราะเขาได้ชุบชีวิตพระโอรสให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งในขณะเดียวกันพระ สุวรรณหงส์ ก็มีความสงสัยในตัวพราหมณ์หนุ่มเพราะเขาดูคล้ายเจ้าหญิงเกศสุริยงมาก พระองค์จึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อพิสูจน์ธาตุแท้ของพราหมณ์ผู้นี้ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ในที่สุดก็ต้องใช้แผนสุดท้าย โดยการเรียกหญิงงามที่สุดเข้ามายังพระนคร ทำทีเป็นว่าเป็นคนรักใหม่ของพระองค์ คราวนี้ปรากฏว่าเกศสุริยงในร่างพราหมณ์อัมพรเกิดอาการโกรธและอิจฉาสตรีผู้ นั้น ด้วยความรู้สึกว่าตนเองถูกทรยศ จึงหนีออกจาเมืองและทิ้งพวงมาลัยดอกไม้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของนางไว้เบื้อง หลัง เมื่อทอดพระเนตรเห็นพวงมาลัย เจ้าชายก็ทรงทราบทันทีว่าพราหมณ์อัมพรนั้นแท้ที่จริงก็คือองค์หญิงเกศสุริยง ปลอมมานั้นเอง ด้วยความรู้สึกที่ทั้งดีใจและแค้นใจพอ ๆ กัน พระสุวรรณหงส์เสด็จขึ้นเรือวิเศษแล้วบินไปยังเมืองมัตตังแล้วก็ได้เผชิญหน้า กับพญายักษ์บิดาขององค์หญิงเกศสุริยง ทั้งคู่เกิดต่อสู้กันอย่างดุเดือด และในที่สุดพระสุวรรณหงส์ก็เป็นฝ่ายชนะพญายักษ์ พระองค์รีบเสด็จตรงไปหาองค์หญิงเกศสุริยงเพื่อล้างแค้น พระองค์เสด็จเข้าไปในห้อง ในขณะที่องค์หญิงเกศสุริยงและพี่เลี้ยงทั้งห้ากำลังหลับอยู่ ก่อนจะฆ่านางพระองค์ได้อธิษฐานว่า ถ้าหากว่ารักพระองค์จริงและมีความซื่อสัตย์ต่อพระองค์แล้วไซร้ ขอให้โลหิตของนางมีรสหวานแต่ถ้าเป็นไปในทางกลับกัน ก็ขอให้โลหิตของนางมีรสขม หลังจากจบคำอธิษฐาน พระองค์ก็ตัดคอนางด้วยดาบแล้วชิมโลหิตของนางดู ปรากฏว่ามีรสหวาน เจ้าชายผู้เศร้าโศกก็ทรุดลงกับพื้นแล้วร่ำไห้คร่ำครวญเสียงดังทำให้พี่ เลี้ยงสะดุ้งตื่นและก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเจ้านายของตนเสียชีวิตไปแล้ว ทั้งห้านางรู้สึกเสียใจแล้วก็สารภาพผิดต่อเจ้าชาย ข่าวการจากไปอย่างกะทันหันแพร่ไปถึงทาสผู้ซื่อสัตย์ของนาง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากยักษ์กุมภัณฑ์ ยักษ์กุมภัณฑ์รับไปทูลให้เจ้าชายใช้น้ำมันทิพย์ซึ่งพระอินทร์ประทานให้กับ นายของตนไว้ และก็เป็นไปได้อย่างเหลือเชื่อ เมื่อน้ำมันทิพย์ถูกร่างขององค์หญิง ก็ทำให้นางฟื้นคืนชีพมาอีกครั้ง ท่ามกลางความตื่นเต้นดีใจของเจ้าชายและบ่าวผู้ซื่อสัตย์ขององค์หญิงเกศ สุริยง ทั้งคู่กลับมาใช้ชีวิตคู่กันอีกครั้ง และคราวนี้จะอยู่ด้วยกันตลอดไป เจ้าชายจึงนำพระชายากลับสู่พระนครของพระองค์เอง ในระหว่างไปพระนครของพระองค์นั้น เจ้าชายไม่ได้ทรงใช้เรือสุวรรณหงส์แต่ทรงเดินทางด้วยม้าและทั้งคู่ก็มาพบ ยักษ์มีนามว่า วิรุณเมฆ ซึ่งเกือบจะทำร้ายพระสุวรรณหงส์อยู่แล้วถ้าหากยักษ์กุมภัณฑ์ไม่เข้ามาขัด ขวาง หลังจากฆ่ายักษ์วิรุณเมฆได้สำเร็จแล้ว ยักษ์กุมภัณฑ์ต้องการเดินทางไปกับนายของตนเพื่อจะได้ช่วยปกป้องทั้งสอง พระองค์ได้ แต่องค์หญิงเกศสุริยงสั่งให้เขากลับไปดูแลเมืองมัตตัง และแล้วทั้งสองพระองค์ก็ออกเดินทางต่อ เมื่อรู้สึกเหนื่อยก็ทรงหยุดพักและเผลอหลับไป มีนางยักษ์ตนหนึ่งผ่านมาพบทั้งคู่เข้า ทันใดนั้นนางยักษ์เกิดนึกรักพระสุวรรณหงส์ผู้มีรูปร่างงามขึ้นมาทันที และผลักองค์หญิงเกศสุริยงตกลงไปในแม่น้ำ แล้วก็แปลงร่างเป็นองค์หญิงแทน โดยบรรทมเคียงคู่กับพระสวามี หลังจากตื่นบรรทม เจ้าชายก็ไม่ได้ทรงสงสัยอะไรนอกจากได้กลิ่นแปลกประหลาดจากเรือนร่างของพระ ชายาตน พระองค์ก็ไม่ได้บ่นเกี่ยวกับเรื่องกลิ่นนี้ เพียงแต่แปลกพระทัยว่าโดยปกติชายาของตนไม่มีกลิ่นตัว ถึงแม้ว่านางจะเป็นธิดาของยักษ์ก็ตาม เมื่อเสด็จมาถึงพระนครของพระองค์ เจ้าชายก็พาพระชายาออกชมรอบ ๆ เมืองและเพลิดเพลินกับการชมวิวทิวทัศน์ ทั้งสองพระองค์อยู่ร่วมกันระยะหนึ่งก็ไม่เห็นมีสิ่งประหลาดอะไรเกิดขึ้น นางยักษ์ปลอมเป็นองค์หญิงพยายามซ่อนความลับว่าตนเป็นยักษ์ไว้ นางจึงกินอาหารเหมือนมนุษย์ทั่วไป อย่างไรก็ตามโดยธรรมชาติของยักษ์ก็ย่อมจะชอบกินเนื้อดิบคราวละมาก ๆ ดังนั้นกลางคืนองค์หญิงปลอมจึงแอบออกมานอกพระนครเพื่อออกจับสัตว์ป่ากินเป็น อาหาร ในขณะเดียวกัน ยักษ์กุมภัณฑ์ก็นำม้าของพระสุวรรณหงส์มากินน้ำที่แม่น้ำ ก็มาพบกับองค์หญิงเกศสุริยงเข้าโดยบังเอิญ จึงรีบนำนายของตนตรงไปยังเมืองไอยรัตน์ซึ่ง ณ ที่นั้นเองที่เกิดการเผชิญหน้ากันขึ้นระหว่างองค์หญิงตัวจริงและตัวปลอม ท่ามกลางความสับสนอลหม่านของผู้คนนั้นเอง องค์หญิงปลอมก็หนีออกจากพระนครไปแต่ก็ถูกยักษ์กุมภัณฑ์สกัดจับไว้ได้แล้วก็ ฆ่านางเสียในระหว่างการต่อสู้กัน และแล้วทั้งสองพระองค์ก็ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและตอนนี้พระนคร ไอยรัตน์ก็สงบสุขปราศจากเรื่องราวร้ายแรงทั้งปวง


วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สามัคคีเภทคำฉันท์ + สามก๊ก

เขียนโดย -Heart- ที่ 07:05 0 ความคิดเห็น






เครื่องราชชั้นสูง

เขียนโดย -Heart- ที่ 01:50 0 ความคิดเห็น

เครื่องราชชั้นสูง

  • ชุมสาย

เป็นฉัตรทรงใหญ่๓ชั้นทำด้วยผ้าปักหักทองขวางและมีสายไหมถักห่างๆคลุมพับกันลมตีกลับสำรับหนึ่งมี๔คันสำหรับหักหรือแห่เสด็จพระราชดำเนินหลังฉัตร๕ชั้น
  • อภิรุม 

เป็นฉัตร๕ชั้นรูปฉัตรเครื่องสูงทำด้วยผ้าปักหักทองขวางสำรับหนึ่งมี่๑๐คันสำหรับปักหรือแห่เสด็จพระราชดำเนินหน้า๖คันหลัง๔คัน

  • สัปตปฏลฉัตร 

เป็นฉัตร๗ชั้นรูปฉัตรเครื่องสูงทำด้วยผ้าปักหักทองขวางสำรับหนึ่งมี๔คันสำหรับปักหรือแห่เสด็จพระราชดำเนิน๔มุมพระที่นั่ง

  • บังแทรก 

ด้ามโลหะมีแผ่นผ้าปักหักทองขวางรูปแบนกลมมีขอบรูปจักๆเหมือนใบสาเกโดยรอบและมียอดแหลมสำรับหนึ่งมี๖คันสำหรับปักหรือแห่เสด็จพระราชดำเนินระวางฉัตร๕ชั้น
  • พระกลด 

คือร่มเป็นเครื่องกั้นแดดฝนองค์พระกลดทำด้วยฝ้าชุบขี้ผึ้งโหมดตาลหรือเยียรบับด้ามเป็นถมทองและทองลงยายอดเป็นรูปพรหมพักตร์

  • บังสูรย์

เป็นเครื่องบังแดดขนาดใหญ่รูปใบโพธิ์มีด้ามทำด้วยผ้าปักหักทองขวาง

  • พัดโบก 

เป็นพัดด้วยใบลานรูปช้อยมีด้ามติดอยู่ด้านข้างพัดนี้ขนาดเล็กสำหรับถือพัดขนาดกลางมีคู่สำหรับมหาดเล็กถวายอยู่งานพัดเวลาเสด็จพระทับพระราชอาสน์ขนาดใหญ่สำหรับเจ้าพนักงานเชิญอยู่งานพัดถวายในขบวนเสด็จพระราชดำเนิน

  • ธงสามชาย

เป็นธงรูปสามเหลี่ยมมุมฉากปลายธงมี๓แฉกเป็น๓ชายลดหลั่นกันมักใช้นำริ้วกระบวนถ้าใช้เข้ากระบวนแห่ในพระราชพิธีผืนธงทำด้วยผ้าสักหลาดสอดสีปักดิ้นหักทองขวางเป็นลวดลาย

  • พระวอสีวิกากาญจน์

เป็นพระราชยานประทับราบสำหรับเจ้านายฝ่ายในและพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์นอกจากใช้เสด็จพระราชดำเนินในงานพระราชพิธีแล้วยังใช้ในงานพระบรมศพสมเด็จพระบรมราชินีด้วยคือเชิญพระราชสรีรางคารจากพระเมรุมาศท้องสนามหลวงกลับเข้าพระบรมมหาราชวัง

วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สอบ Modal verb&Question tag

เขียนโดย -Heart- ที่ 07:57 0 ความคิดเห็น

Grammar Reference

Present/Past participles

เราใช้ present participles เพื่อบรรยายบางสิ่งบางอย่าง
ตัวอย่างเช่น It was boring lecture.  (How was the lecture? Boring.)
เราใช้ past participles เพื่อกล่าวว่าบางคนรู้สึกเช่นไร
ตัวอย่างเช่น We were bored. (How did we feel? Bored.)

Logical assumptions/Deductions


Must   ใช้เมื่อแน่ใจหรือมั่นใจว่าบางสิ่งนั้นถูกต้อง
Must     จะใช้ในประโยคบอกเล่าและแสดงความเชื่อที่มีเหตุผลในเชิงบวก
ตัวอย่างเช่น You’ve been travelling all day, you must be exhausted!

Can’t/couldn’t: ใช้เมื่อแน่ใจว่าบางสิ่งนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่จริง
Can’t และ couldn’t  จะใช้ในประโยคปฏิเสธ และแสดงสมมติฐานตามหลักเหตุผลในแง่ลบ
ตัวอย่างเช่น That can’t be Jason, he’s on holiday in Spain at the moment.



Possibility




Can + กริยาช่องที่ 1: ความเป็นไปได้ทั่วๆ ไป
 บางสิ่งนั้นเป็นไปได้ในทางทฤษฎี จะไม่ใช้ในสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจง
ตัวอย่างเช่น       You can choose anything you like from the buffet.
For the main course you can have pasta or pizza.
Could/May/Might +กริยาช่องที่ 1: เป็นไปได้ บางที
ใช้เพื่อแสดงว่าบางสิ่งนั้นเป็นไปได้ในสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจง
ตัวอย่างเช่น       You may find what you want at the supermarket.
You should keep that picture, it may be valuable one day.
หมายเหตุ:  เราสามารถใช้ can/could/might ในประโยคคำถาม แต่ห้ามใช้ may
ตัวอย่างเช่น       Do you think that you can/could/might fix it?
Could/Might/Would + have + กริยาช่องที่ 3: ใช้กล่าวอ้างถึงอดีต บางสิ่งซึ่งเป็นไปได้แต่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ
ตัวอย่างเช่น       She might have passed the exam if she had studied harder.


Obligation/Duty/Necessity


must ใช้เพื่อแสดงหน้าที่  การบังคับให้ทำบางสิ่ง หรือว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยปกติแล้วเราจะใช้ must เมื่อผู้พูดเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น
            ตัวอย่างเช่น        I must pay the electricity bill today.
have to ใช้เพื่อแสดงความจำเป็นหรือการบังคับ โดยปกติแล้วเราจะใช้
have to เมื่อผู้พูดไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจเองว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น
              ตัวอย่างเช่น      The teacher said we have to hand our
                                      homework in tomorrow.
หมายเหตุ:  must และ have to มีความหมายแตกต่างกัน ในประโยคคำถาม
ตัวอย่างเช่น  Do I have to wash the car now? (Is it necessary for me ...?)
                    Must I wash the car now?          (Do you insist that I ... ?)

Should/Ought to ใช้แสดงหน้าที่ เสนอแนะ แสดงถึงการบังคับ/หน้าที่ที่ไม่จริงจังเท่ากับ must/have to
ตัวอย่างเช่น We should redecorate the living room soon.


Need  ใช้แสดงความจำเป็น
ตัวอย่างเช่น Need I apply for the job in writing?
หมายเหตุ:  Need สามารถใช้เป็นกริยาช่วย หรือกริยาแท้ก็ได้ โดยที่ความหมาย
ไม่เปลี่ยนแปลง
ตัวอย่างเช่น       Need I finish the report today?             (กริยาช่วย)
                         Do I need to finish the report today?    (กริยาแท้)


Absence of necessity


Needn’t/Don’t have to/Don’t need to + กริยาช่องที่ 1 ใช้เพื่อแสดงว่าไม่มีความจำเป็นต้องทำบางสิ่ง (ในปัจจุบันหรืออนาคต)
ตัวอย่างเช่น       You don’t need to take the dog for a walk, I will do it.
Didn’t need to/Didn’t have to:  ไม่จำเป็นที่ต้องทำบางสิ่ง เราไม่รู้ว่าการกระทำนั้นได้ถูกกระทำไปแล้วหรือไม่
ตัวอย่างเช่น       She didn’t need to/have to pay the whole amount today. (We don’t know if she paid it or not.)
Needn’t/Don’t have to/Don’t need to + กริยาช่องที่ 1:  ไม่จำเป็นต้องทำบางสิ่ง (ในปัจจุบัน/อนาคต)
ตัวอย่างเช่น       You needn’t have typed the whole thing again – it was saved on the computer. (You did type it all.)




Prohibition


Mustn’t/Can’t ใช้ในการห้ามทำบางสิ่ง ห้ามทำเพราะผิดกฎหมาย ผิดกฎ คุณไม่ได้รับอนุญาตให้ทำบางสิ่ง
            ตัวอย่างเช่น       You mustn’t/can’t touch anything in the museum.
                                    You mustn’t/can’t drive if you haven’t got a licence.
Criticism
Could/Should/Might/Ought to/ + have + กริยาช่องที่ 3: ใช้วิพากษ์วิจารณ์การกระทำของ        คนบางคนหรือการขาดการกระทำ (ในอดีต)  
ตัวอย่างเช่น       They could have thanked me for everything I’ve done for them.
 

Question tags


Question tags มีโครงสร้าง ดังนี้  กริยาช่วย + คำสรรพนาม  โดยกริยาช่วยใน tags จะเป็นตัวเดียวกันกับประโยคส่วนหน้า หรือถ้าไม่มีกริยาช่วยในประโยคส่วนหน้า จะใช้ do/does  (present simple) หรือ did (past simple) เข้ามาช่วยแทน
เมื่อประโยคส่วนหน้าเป็นบอกเล่า เราใช้คำถามข้างหลังเป็นปฏิเสธ แต่ถ้าประโยคส่วนหน้าเป็นปฏิเสธ คำถามข้างหลังจะเป็นบอกเล่า
He works in the bank, doesn’t he?
She couldn’t remember his phone number, could she?
หมายเหตุ:
ประโยคส่วนหน้ามีคำว่า Let’s  ส่วนของ tag จะเป็น shall we?
ตัวอย่างเช่น       Let’s put some music on, shall we?
                        ประโยคส่วนหน้ามีคำว่า Let me/him  ส่วนของ tag จะเป็น will you/won’t you?
ตัวอย่างเช่น       You’ll let me borrow this shirt, won’t you?
ประโยคส่วนหน้ามีคำว่า I have (เป็นเจ้าของ) ส่วนของ tag จะเป็น haven’t I?
ตัวอย่างเช่น       He has a blue car, hasn’t he?
ยกเว้น I have (ไม่ได้แสดงความเป็นเจ้าของ ใช้เป็นสำนวน) ส่วนของ tag จะเป็น don’t I?
ตัวอย่างเช่น       He had a nice time, didn’t he?
Last week he had a cold, didn’t he?
                        ประโยคส่วนหน้ามีคำว่า This/That is  ส่วนของ tag จะเป็น isn’t it?
ตัวอย่างเช่น       This is a good book, isn’t it?
This restaurant is very cheap, isn’t it?
                        ประโยคส่วนหน้ามีคำว่า I am ส่วนของ tag จะเป็น aren’t I?
ตัวอย่างเช่น       I am right, aren’t I?
I am late aren’t I?
ประโยคคำสั่งในรูปปฏิเสธ ส่วนของ tag จะเป็น will you?
                        ตัวอย่างเช่น       Don’t leave the door unlocked, will you?
Don’t tell anyone, will you?



 

MyHomeWork 6/8 Template by Ipietoon Blogger Template | Gift Idea